Underwater Land
ประเทศไทยในปี 2576 จะเดินต่อไปอย่างไร เมื่อนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่พลันเสียชีวิตลงอย่างเป็นปริศนา อะไรเป็นเหตุจูงใจของฆาตกร เป็นสิ่งที่ยิ่งยากเกินคาดเดา
ผู้เข้าชมรวม
1,269
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ประเทศไทย พ.ศ. 2556
เด็กหนุ่มวัยเพียง 15 ปีกำลังนอนนอนชักกะตุกอยู่บนเตียงคนไข้ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง นางพยาบาลคนหนึ่งรีบเข้ามาดูอาการ เห็นเด็กหนุ่มกำลังนอนน้ำลายฟูมปาก หายใจติดขัด นิ้วมือและนิ้วเท้าเกร็งอย่างรุนแรง นางพยาบาลคนนั้นกดปุ่มสัญญาณฉุกเฉินเรียกหมอเข้ามา
หลังจากหมอตรวจอาการเบื้องต้นแล้ว พบว่าระดับสารพิษในร่างกายสูงเกินกว่าที่ร่างกายปกติจะทนทานรับได้ ทำให้ร่างกายเกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงและอาจช็อคหมดสติได้
"ช่วยด้วย!!!" เสียงของเด็กหนุ่มร้องอยู่ในลำคอ ดิ้นรนอย่างทุรนทุราย
ประเทศไทย พ.ศ. 2576
"ช่วยด้วย!!!" เสียงชายคนหนึ่งร้องดังลั่น
รวินทร์กระชากตัวขึ้น หอบหายใจนั่งนิ่งอยู่ในความมืด นิ้วมือนิ้วเท้าค่อย ๆ ผ่อนคลายออก แล้วยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่ท่วมอยู่บนใบหน้า
'ฝันร้ายอีกแล้วเหรอ' นี่ก็ผ่านไป 20 ปีแล้ว แต่เหตุการณ์ยังคงเหมือนเกิดขึ้นเมื่อวานไม่มีผิด สักครู่หนึ่งรวินทร์ก็ได้ยินเสียงคนร้องที่ด้านข้าง
"ไม่นะ ไม่ ๆ" เสียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งละเมอซ้ำไปซ้ำมา
รวินทร์เปิดไฟที่หัวเตียงแล้วลุกขึ้นไปปลุกเด็กหนุ่มที่นอนอยู่เตียงข้าง ๆ อภิรักษ์สะดุ้งตื่นขึ้นอย่างผวา มองสำรวจร่างกายของตนเองแล้วหันไปมองรอบ ๆ บริเวณ ก่อนจะหยุดจ้องหน้ารวินทร์ที่นั่งลงอยู่ข้างเตียงของตน
"ฝันร้ายเหรอ" รวินทร์กระซิบถาม น้ำเสียงแสดงถึงความเป็นห่วง
อภิรักษ์ลูบหน้าลูบตาก่อนจะพยักหน้ารับ
"ชั้นก็เหมือนกัน" รวินทร์ปลอบ "อยากจะเล่าไหม"
"ไม่เป็นไร ครับ"
ในปีพ.ศ. 2555 สงครามโลกครั้งที่ 3 ได้เริ่มก่อตัวขึ้น อาวุธนิวเคลียร์และอาวุธชีวภาพถูกนำมาใช้เป็นอาวุธหลักในการทำสงคราม ผลที่ตามมาหลังจากนั้นคือ เกิดโรคระบาดสายพันธุ์ใหม่ขึ้นหลากหลายชนิด บรรยากาศของโลกร้อนขึ้น
ปีพ.ศ. 2566 ความร้อนบนโลกสูงขึ้นจากปรากฎการณ์เรือนกระจกแบบเฉียบพลัน น้ำแข็งในขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ละลาย น้ำไหลมาบรรจบกัน ก่อให้เกิดเป็นอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก ทั่วโลกจมอยู่ใต้พื้นน้ำรวมทั้งประเทศไทย
เช้าวันรุ่งขึ้น รวินทร์กับอภิรักษ์ ที่อายุต่างกันราว 15 ปี สวมเสื้อผ้าที่คล้ายชุดดำน้ำขึ้นรถไฟฟ้าใต้น้ำ เดินทางไปทำงานที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ที่ย้ายมาทำการบนถนนราชดำเนิน
กรุงเทพใต้บาดาลมีรูปร่างลักษณะคล้ายสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินขนาดใหญ่ พื้นที่แต่ละพื้นที่จะถูกครอบด้วยกระจกใสหนารูปครึ่งวงรีสองชั้น เขตที่โชคร้ายถูกกระแสน้ำพัดทำลายชั้นป้องกันนี้ พัดพาเอาชีวิตและทรัพย์สินมลายหายสิ้น เขตที่ยังอยู่รอดจะถูกเชื่อมด้วยรถไฟฟ้าใต้น้ำที่ขับเคลื่อนด้วยกระแสไฟฟ้าที่สร้างมาจากโซลาเซลล์ขนาดยักษ์เหนือผิวน้ำ
ทั้งสองมาถึงที่กระทรวงเวลา 8 โมงเช้า ถึงกระนั้นท้องฟ้าใต้บาดาลยังคงมืดครึ้มเหมือนช่วงเวลาก่อนฟ้าสาง ห้องวิจัยที่ทั้งสองทำงานอยู่บนชั้น 7 ของอาคาร ภายในห้องวิจัยแบ่งออกเป็น 4 ห้องย่อย คือห้องทำงานที่มีพื้นที่ใช้สอยมากที่สุด ห้องที่เหลือเป็นห้องเก็บตัวอย่าง ห้องพักและห้องน้ำ
เมื่อทั้งสองเปิดประตูเข้าไปในห้อง พบนายแพทย์ธนากำลังตรวจร่างกายด๊อกเตอร์อภินันท์อยู่ นายแพทย์ถอดถุงมือยางแสดงว่าการตรวจใกล้เสร็จแล้ว นายแพทย์ส่ายหน้าเล็กน้อย
"ผมบอกแล้วใช่ไหม ว่าด๊อกเตอร์ควร" นายแพทย์ธนาหยุดชะงักเล็กน้อย "ไม่ใช่สิ 'ต้อง' พักผ่อนให้มาก ๆ"
ด๊อกเตอร์อภินันท์ทำท่าจุ๊ปาก บอกให้นายแพทย์ธนาอย่าพูดอะไรตอนนี้ นายแพทย์มีสีหน้าจนอับจนปัญญา เก็บอุปกรณ์ตรวจโรคและตัวอย่างปัสสาวะของด๊อกเตอร์ลงกระเป๋าพยาบาล
"ขอบคุณ ๆ หมอมาก" ด๊อกเตอร์อภินันท์โค้งหัว "เธอสองคนเดี๋ยวตามคุณหมอไปตรวจร่างกายด้วยนะ อย่าลืมว่าวันนี้เราจะออกไปสำรวจบนพื้นผิวน้ำกัน"
รวินทร์และอภิรักษ์เดินตามนายแพทย์ธนาออกไปตรวจร่างกายที่แผนกอนามัยบนชั้น 4 ของอาคาร ระหว่างทางอภิรักษ์ถามถึงอาการของด๊อกเตอร์อภินันท์
"ด๊อกเตอร์กำลังจะตาย" นายแพทย์ธนาหันมาบอก
อภิรักษ์และรวินทร์ชะงัก ไม่เชื่อกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่
"ว่าอะไรนะครับ คุณพ่อกำลังจะ" อภิรักษ์ถามเสียงสั่น คำว่า 'ตาย' พูดไม่ออก
"ใช่ พ่อเธอเป็นโรคหัวใจ อาการของท่านตอนนี้ไม่สู้จะดีนัก"
"แล้วไม่มีทางรักษาให้หายเลยเหรอครับ" รวินทร์ถาม หวังว่าจะมีหนทางรักษา
นายแพทย์ธนาได้แต่ส่ายหน้า เวลานั้นคนเริ่มมาทำงานกันมากขึ้น นายแพทย์รู้สึกว่ายืนคุยกันตรงนี้คงไม่เหมาะนัก จึงเดินต่อไปยังห้องตรวจร่างกาย
โครงการที่ด๊อกเตอร์อภินันท์กำลังวิจัยอยู่เป็นโครงการที่จะนำพามนุษย์กลับขึ้นไปอาศัยอยู่บนพื้นโลกอีกครั้งหนึ่ง ด๊อกเตอร์เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านพันธุวิศวกรรมศาสตร์ (Genetic Engineering) หลังสงครามโลกสิ้นสุดลง บนผืนโลกเต็มไปด้วยมลพิษทางชีวภาพ ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถทนทานต่อสารพิษนั้นได้ ทำให้ประชากรบนโลกจำนวนมากตายด้วยสารพิษและโรคระบาดพันธุ์ใหม่ ด๊อกเตอร์อภินันท์จึงนำความรู้ทางด้านการออกแบบพันธุกรรมมาใช้ โดยดัดแปลงพันธุกรรมมนุษย์ให้มีภูมิต้านทานสูงขึ้น จะอย่างไรก็ดี เพื่อป้องกันการกลายพันธุ์ (Mutation) การดัดแปลงดีเอ็นเอจึงทำได้อย่างจำกัด ขณะที่พื้นผิวโลกยังเต็มไปด้วยสารพิษทางชีวภาพและใช้เวลาอีกกว่าพันปีจะสลาย ด๊อกเตอร์อภินันท์มีหน้าที่ทำการทดลองเพื่อวิเคราะห์ออกแบบดีเอ็นเอที่เหมาะสมที่สุดในการดำรงชีวิตบนพื้นผิว
รวินทร์สแกนลายนิ้วมือเพื่อเปิดประตูเรือดำน้ำออกมา เครื่องคอมพิวเตอร์บันทึกเวลาเข้า ออก จากนั้นรวินทร์ก็เข้าไปยังห้องฆ่าเชื้อ อภิรักษ์ช่วยรวินทร์ไปนำตัวอย่างที่เก็บมาจากบนผิวน้ำขนไปให้ด๊อกเตอร์อภินันท์ในห้องวิจัย หลังจากนั้นอภิรักษ์ก็พารวินทร์ไปยังแผนกอนามัยเพื่อตรวจสุขภาพกับนายแพทย์ธนาอีกครั้งหนึ่ง
"ระดับสารพิษในเลือดสูงมากนะ คราวนี้ออกไปนานกว่าปกติล่ะสิ" นายแพทย์ธนาสันนิษฐาน
"ครับ" รวินทร์พยักหน้า นายแพทย์ธนามีท่าทีไม่สบายใจ
"อุตส่าห์เตือนด๊อกเตอร์แล้วว่าอย่าโหมงานหนัก ยังไม่ฟังอีก" นายแพทย์ธนาบ่น "อภิรักษ์ กลับไปก็ไปเตือนพ่อเธอหน่อยนะ"
อภิรักษ์ยืนอยู่ด้านข้าง รับคำเตือนคุณหมอ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพ่อก็คงจะไม่ใส่ใจเท่าไหร่ นายแพทย์ธนาฉีดยาต้านสารพิษให้กับรวินทร์
"ยานี้แรงหน่อยนะ อาจจะทำให้ง่วงได้" นายแพทย์วางเข็มลง "แต่ก็ดีนะ จะได้พักผ่อนมาก ๆ"
ก๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
ชายวัยกลางคนผิวดำแดงเดินเข้ามาในห้องพยาบาล เหลียวหน้าไปเห็นอภิรักษ์และรวินทร์อยู่ในห้อง ชายผิวดำแดงรอจนทั้งสองออกจากห้องพยาบาลไป แล้วปิดประตูห้องลง
ทั้งอภิรักษ์และรวินทร์มองชายคนนั้นอย่างไม่ค่อยพอใจนัก แล้วอภิรักษ์ก็พารวินทร์กลับมายังห้องวิจัยบนชั้น 7 ด๊อกเตอร์อภินันท์บอกให้อภิรักษ์พารวินทร์เข้าไปนอนในห้องพัก เมื่อรวินทร์เข้าไป เห็นเตียงนอนยังไม่ได้เก็บ แสดงว่าเมื่อคืนนี้ด๊อกเตอร์ทำงานที่นี่จนดึก จึงต้องนอนที่เตียงนี้ แล้วรวินทร์ก็ล้มตัวลงนอนและหลับไปด้วยฤทธิ์ของยา
ขณะที่รวินทร์กำลังหลับอยู่นั้น
หวอ ๆ ๆ เสียงสัญญาณฉุกเฉินดังขึ้น
รวินทร์สะดุ้งตกใจตื่นขึ้น ลุกขึ้นจากเตียงนอนทั้งที่ร่างกายยังส่ายโงนเงนอยู่ หัวสมองหมุนติ้ว โซเซไปเปิดประตูห้องพัก ออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
ภายในห้องวิจัย ด๊อกเตอร์อภินันท์ล้มฟุบอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ มือข้างหนึ่งยึดที่หน้าอก อีกข้างหนึ่งห้อยอยู่ใต้โต๊ะทำงาน รวินทร์ปรี่เข้าไปหาด๊อกเตอร์โดยเร็ว ตรวจลมหายใจและเสียงหัวใจของด๊อกเตอร์อย่างรวดเร็ว
'ไม่จริง ๆ' ความคิดในหัวของรวินทร์วนซ้ำอยู่อย่างนั้นหลายรอบ
ด๊อกเตอร์อภินันท์ตายแล้ว!
เสียง 'หวอ' ยังดังซ้ำอยู่อย่างนั้น ปลุกรวินทร์ให้ตื่นจากผวังค์ 'นี่เราฝันไปหรือเปล่า' แต่ในหูยังคงแว่วเสียง 'ช่วยด้วย' ซ้ำอย่างนั้นอยู่หลายรอบ 'หรือว่าเราฝันไป' รวินทร์ยังคงสับสนมึนงง
รวินทร์ค่อย ๆ เดินไปทางต้นเสียง พบว่าเสียงนั้นออกมาจากลำโพงที่ถ่ายทอดมาจากเรือดำน้ำ มันเป็นเสียงของอภิรักษ์
อภิรักษ์ยังอยู่ในเรือดำน้ำ!
รวินทร์รีบกดปุ่มสัญญาณฉุกเฉินเรียกเรือดำน้ำกลับมาโดยอัตโนมัติ จากนั้นโทรหาแผนกอนามัยแล้ววิ่งไปรับอภิรักษ์ที่ท่าเรือดำน้ำ
อภิรักษ์มีท่าทางถูกสารพิษจากพื้นผิวน้ำ หอบหายใจถี่ นิ้วมือชักงอ อาจจะช็อคหมดสติได้ทุกเมื่อ รวินทร์แบกอภิรักษ์ไปพบนายแพทย์ธนาที่ห้องพยาบาล รวินทร์มาถึงห้องพยาบาลในสภาพที่ยังตื่นตระหนกกับเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ ตนเองแทบจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง ตำรวจปิดกั้นพื้นที่ห้องวิจัยของด๊อกเตอร์อภินันท์ สารวัตรภัทรพลทำหน้าที่ควบคุมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่นี้ เมื่อตรวจสภาพศพด๊อกเตอร์เบื้องต้นสันนิษฐานได้ว่าเกิดจากหัวใจล้มเหลวซึ่งก็ตรงกับข้อสรุปเดียวกับของนายแพทย์ธนา นายตำรวจอื่นยังคงเก็บหาร่องรอยและหลักฐานต่าง ๆ ในที่เกิดเหตุจนเสร็จสิ้น
รวินทร์กับอภิรักษ์ได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นและพักอยู่ในห้องคนไข้คนละห้อง สภาพร่างกายของรวินทร์เริ่มจะแข็งแรงขึ้นบ้างแล้ว แต่สภาพจิตใจยังคงสับสนจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก อภิรักษ์นอนสลบจากการให้ยานอนหลับและยาบำรุงเนื่องจากได้รับสารพิษในปริมาณสูงเกินไป แต่ไม่ว่าอย่างไรก็พ้นขีดอันตรายมาแล้ว
เที่ยงวันรุ่งขึ้น
รวินทร์ลืมตาขึ้นพร้อมกับเห็นนายตำรวจคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างเตียง เมื่อหันไปอ่านป้ายชื่อที่ติดอยู่บนอกเสื้อ ที่แท้ก็เป็นสารวัตรภัทรพลผู้ที่ควบคุมเหตุการณ์เมื่อคืนก่อน สารวัตรถามไถ่ถึงสุขภาพร่างกายก่อนจะเข้าเรื่อง
"ผมอยากจะถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ไม่ทราบว่าคุณรวินทร์พอจะเล่าให้ฟังได้ไหม"
รวินทร์พยายามทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ค่อย ๆ เรียงลำดับอย่างช้า สารวัตรภัทรพลฟังจนจบโดยไม่ได้ซักถามแม้แต่คำถามเดียว แต่ดวงตาคอยสังเกตท่าทีการเล่าเรื่องราวตลอดเวลา เมื่อรวินทร์เล่าจนจบ สารวัตรหยิบอาหารกลางวันที่ตั้งอยู่บนหัวเตียงยื่นส่งให้แล้วค่อยเอ่ยปากถามคำถามแรก
"ตอนนั้นมีคุณอยู่ในห้องวิจัยเพียงคนเดียวเหรอ" สารวัตรภัทรพลถาม
รวินทร์พยักหน้า
"แปลว่าไม่มีพยานยืนยันว่าคุณนอนหลับอยู่ขณะที่ด๊อกเตอร์อภินันท์เสียชีวิต"
รวินทร์รู้สึกได้ถึงน้ำเสียงที่ผิดปกติ มองหน้าสารวัตรภัทรพล ถามคำถามแทนการตอบ
"นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่"
สารวัตรภัทรพลไม่หลบสายตา นิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอก
"เรามีหลักฐานพอจะทำให้เชื่อได้ว่า ด๊อกเตอร์อภินันท์ไม่ได้เสียชีวิตโดยอุบัติเหตุ" สารวัตรเว้นจังหวะ "หากแต่เป็นไปได้อย่างมากว่าเป็นการฆาตรกรรม"
สารวัตรภัทรพลขยายความว่า แผนกชัณสูตรศพพบสารกระตุ้นในเส้นเลือดของด๊อกเตอร์อภินันท์ในระดับสูง และสูงมากพอที่จะทำให้คนที่เป็นโรคหัวใจ หัวใจล้มเหลวได้อย่างกระทันหัน
สารวัตรภัทรพลกลับออกมาจากห้อง ระหว่างทางที่จะไปพบนายแพทย์ธนาก็คิดวิเคราะห์เหตุการณ์ในหัวสมอง
'คนที่มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุดคงหนีไม่พ้นรวินทร์ ซึ่งเป็นผู้พบศพคนแรกและอยู่ในที่เกิดเหตุ จากการตรวจสอบร่องรอยต่าง ๆ พบว่าไม่มีร่องรอยของการงัดแงะ และไม่มีรอยนิ้วมือบริเวณศพนอกจากรอยนิ้วมือของรวินทร์'
สารวัตรภัทรพลหยุดคิดอยู่หน้าห้องนายแพทย์ธนา หมอประจำตัวของด๊อกเตอร์
'คนร้ายใช้สารกระตุ้นในการฆาตรกรรม แสดงว่าคนร้ายน่าจะมีความเชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์ นายแพทย์ธนาเป็นหมอประจำตัวด๊อกเตอร์อภินันท์ ดังนั้นย่อมทราบว่าด๊อกเตอร์ป่วยเป็นโรคหัวใจ'
สารวัตรภัทรพลอดคิดไม่ได้ว่านายแพทย์ธนาก็อยู่ในขอบข่ายผู้ต้องสงสัยเช่นกัน สารวัตรเคาะประตูห้องก่อนจะเข้าพบนายแพทย์ผู้นี้
"สารกระตุ้นที่สารวัตรว่า ไม่ใช่สารอันตรายร้ายแรง สามารถหาซื้อได้ไม่ยากนัก" นายแพทย์ธนาตอบเหมือนจะแก้ต่างให้กับตัวเอง
"ถ้าอย่างนั้นนอกจากคุณหมอแล้ว มีใครที่พอจะทราบเรื่องอาการป่วยของด๊อกเตอร์บ้าง"
"เมื่อวานนี้ผมเพิ่งจะบอกอาการโรคหัวใจให้กับอภิรักษ์และรวินทร์ฟัง"
ก่อนกลับสารวัตรภัทรพลขอดูประวัติการตรวจร่างกายของด๊อกเตอร์อภินันท์ที่นายแพทย์ธนาเป็นผู้ดูแล เนื่องจากจรรยาบรรณทางการแพทย์ นายแพทย์ธนาจึงเปิดเผยให้สารวัตรดูเพียงบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับคดี สารวัตรยังถามไถ่ถึงอาการของอภิรักษ์ ลูกชายของด๊อกเตอร์และขออนุญาติเข้าไปเยี่ยม
'อภิรักษ์ก็รู้เรื่องโรคหัวใจของด๊อกเตอร์ ถ้าอย่างนั้นคงร้ายต้องเป็น 1 ใน 3 คนนี้สินะ' สารวัตรภัทรพลคิดก่อนเข้าไปเยี่ยมไข้อภิรักษ์
อภิรักษ์กำลังนอนให้น้ำเกลืออยู่บนเตียง ดูอาการดีขึ้นมากแล้ว สังเกตได้จากสีหน้าที่ดูมีสีเลือดขึ้นผิดกับครั้งแรกที่พบ แต่แล้วก็หน้าซีดอีกครั้งเมื่อสารวัตรภัทรพลบอกว่าคดีของด๊อกเตอร์อภินันท์เป็นคดีฆาตรกรรม
"ผมตรวจสอบประวัติด๊อกเตอร์แล้ว ภรรยาของด๊อกเตอร์ตายไปเมื่อปี 2555 สมัยที่สงครามโลกครั้งที่ 3 เริ่มเกิดขึ้น ปีนี้ พ.ศ. 2576 คุณมีอายุ 20 ปีพอดี แปลว่าคุณแม่ของคุณตายก่อนที่จะให้กำเนิดคุณ ไม่ทราบว่าพอจะไขความกระจ่างให้ผมได้ไหมครับ" สารวัตรภัทรพลถาม
อภิรักษ์หยิบรูปในกระเป๋าสตางค์มาให้สารวัตรดู รูปด๊อกเตอร์อภินันท์สมัยยังหนุ่มกับรูปอภิรักษ์ตอนนี้เหมือนกันอย่างไม่ผิดเพี้ยน อภิรักษ์กลืนน้ำลาย รู้สึกลำคอแห้งผาก
"ผมไม่มีแม่" อภิรักษ์ตอบเสียงเบา สารวัตรต้องงงกับคำตอบ
อภิรักษ์เล่าต่อว่า 'คุณแม่' หากหมายถึงภรรยาด๊อกเตอร์ ตายพร้อมกับลูกชายของเธอช่วงสงครามโลกครั้งที่ 3 ด๊อกเตอร์เสียใจมากเหมือนกับหมดอาลัยในชีวิต แต่แล้วอยู่ ๆ ด๊อกเตอร์ก็คิดถึงการโคลนนิ่งมนุษย์ขึ้น ด๊อกเตอร์นำเซลล์เนื้อเยื่อของด๊อกเตอร์เองมาเพาะอภิรักษ์ในหลอดแก้ว
"ด๊อกเตอร์บอกคุณเองเหรอ" สารวัตรภัทรพลถาม
"เปล่าครับ เป็นรวินทร์บอกผม"
อภิรักษ์เล่าต่อว่า รวินทร์เป็นคนที่ด๊อกเตอร์ช่วยชีวิตไว้ในสมัยนั้น โดยการดัดแปลงรหัสพันธุกรรมให้มีความทนทานต่อสารพิษชีวภาพ แล้วค่อยให้นายแพทย์ธนาดูแลรักษาต่อ รวินทร์จึงรอดชีวิตมาได้ จากนั้นรวินทร์ก็ช่วยงานด๊อกเตอร์มาโดยตลอด
"แล้วเป็นไปได้ไหมว่า รวินทร์จะเป็นคนฆ่าด๊อกเตอร์"
อภิรักษ์นิ่งเงียบเหมือนไม่ได้ยินคำถาม สารวัตรภัทรพลก็ไม่คาดคั้น เดินจากไป ก่อนออกจากห้องสารวัตรนึกคำถามขึ้นได้
"แล้วถ้าด๊อกเตอร์ตายไป ใครจะเป็นผู้ดูแลงานต่อจากด๊อกเตอร์" สารวัตรหันมาถาม
"ผมเอง" อภิรักษ์ตอบเหมือนกับไม่ใส่ใจกับคำถาม
สารวัตรภัทรพลกินข้าวเย็นที่โรงอาหารบนชั้น 3 ของอาคารกระทรวง หลังกินข้าวเย็นเสร็จก็เป็นเวลากว่าสองทุ่มแล้ว นับตั้งแต่ได้รับแจ้งจนถึงตอนนี้ สารวัตรได้นอนไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น หลังจากได้ทานอาหารเช้าตอนก่อนเที่ยง มื้อเย็นนี้ก็เป็นอาหารมื้อที่สองและมื้อสุดท้ายของวันนี้
สารวัตรเดินต่อไปยังเรือดำน้ำที่อภิรักษ์ออกสำรวจเมื่อคืนนี้ สภาพภายนอกเรือดำน้ำมีรอยชนยุบหลายแห่งด้วยกัน เกิดจากการที่อภิรักษ์บังคับเรือขณะทุรนทุรายจากสารพิษ สารวัตรตรวจสอบที่สแกนนิ้วมือบันทึกเวลาพบว่าอภิรักษ์อยู่ในเรือดำน้ำตลอดเวลาขณะที่ด๊อกเตอร์กำลังจะเสียชีวิต ประตูทางออกฉุกเฉินไม่สามารถเปิดออกเนื่องจากรอยบุบจากด้านนอก เมื่อตรวจดูสภาพชุดสำรวจที่คล้ายชุดนักบินอวกาศ พบว่ามีรอยฉีกขาดบริเวณด้านหลังศีรษะ ซึ่งเป็นจุดที่ผู้ใส่ไม่สามารถมองเห็นได้หากไม่สังเกตให้ดี ที่สำคัญลักษณะรอยขาดเป็นผิวเรียบ แสดงว่าเกิดจากของแหลมคม ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ
ฆาตรกรไม่พียงคิดฆ่าด๊อกเตอร์เท่านั้น หากแต่ยังคิดฆ่าลูกชายของด๊อกเตอร์ด้วย!
สารวัตรภัทรพลเดินกลับไปยังห้องพักฟื้นของรวินทร์ เป็นเวลารวินทร์กำลังเดินออกมาจากห้องพอดี
"คุณกำลังจะไปไหน" สารวัตรถาม
รวินทร์ไม่ตอบ เดินก้มหน้าผ่านไป
"หากด๊อกเตอร์อภินันท์และอภิรักษ์ลูกชายคนเดียวของด๊อกเตอร์ตายไป ใครที่มีโอกาสสูงสุดที่จะได้ควบคุมโครงการที่ด๊อกเตอร์ทำอยู่ต่อไป" สารวัตรถามเสียงดัง
รวินทร์นิ่งอยู่พักใหญ่
"ผมคงไม่มีความสามารถขนาดนั้นหรอก" รวินทร์ตอบ ไม่สบตาสารวัตรที่ยืนอยู่ด้านข้าง
"แล้วเด็กอายุ 20 ปีจะมีความสามารถมากกว่างั้นหรือ"
"สารวัตรไม่เข้าใจ อภิรักษ์เค้าเป็น เอ่อ ผมจะพูดยังไงดี"
"เป็นโคลนของด๊อกเตอร์อภินันท์ใช่ไหม"
รวินทร์จ้องหน้าสารวัตรด้วยตะลึง และยอมรับในที่สุด
"อภิรักษ์เป็นโคลนนิ่งของด๊อกเตอร์อภินันท์ สารวัตรคงไม่สงสัยในสติปัญญาของเขา
กระมัง"
"แปลว่าอภิรักษ์มีความรู้ความสามารถเทียบเท่าด๊อกเตอร์อภินันท์" คราวนี้ถึงคราวสารวัตรประหลาดใจบ้าง
"หรืออาจจะมากกว่าก็ได้ เพียงแต่อภิรักษ์เกิดมาในช่วงเหตุการณ์ที่เลวร้ายอย่างที่สุด ทำให้อภิรักษ์ฝันร้ายอยู่เป็นประจำ"
"ถ้าอย่างนั้นหากด๊อกเตอร์และลูกชายตายไป ใครจะได้ประโยชน์ต่อจากนี้"
"สารวัตรหมายความว่ายังไง มีใครจะฆ่าอภิรักษ์เหรอ"
สารวัตรภัทรพลเล่าเรื่องชุดสำรวจที่มีรอยขาด รวินทร์คิดแล้วคิดอีก พลันนึกถึงชายกลางคนผิวดำแดงที่พบหน้าห้องนายแพทย์ธนา
"อาจจะเป็นวิศวกรพิสิทธิ์"
โครงการฟื้นฟูประเทศไทยได้รับการช่วยเหลือจากสองโครงการหลักคือ โครงการดัดแปลงพันธุกรรมของด๊อกเตอร์อภินันท์ ที่ทำให้มนุษย์สามารถทนรับสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษได้มากขึ้น และอีกโครงการหนึ่งคือ โครงการพัฒนาสิ่งปลูกสร้าง ที่เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ใต้บาดาลในปัจจุบันนี้
ทั้งกระจกครอบเมืองรูปครึ่งวงรี แหล่งพลังงานโซลาเซลล์ และอื่น ๆ ล้วนเป็นผลงานการสร้างสรรค์ของวิศวกรพิสิทธิ์ หากแต่โครงการของด๊อกเตอร์ได้รับความไว้วางใจมากกว่าเนื่องจากความล้มเหลวในการรักษาพื้นที่สำคัญ เช่น สุขุวิท สีลม ล้วนถูกทำลายย่อยยับภายใต้อุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ประเทศที่อยู่ใต้น้ำ การหาทรัพยากรมาปลูกสร้างสิ่งต่าง ๆ ยังทำได้ยาก
ดังนั้นโครงการของทั้งสองจึงเปรียบเสมือนคู่แข่งกันทางการเมืองและศรัทธาจากประชาชน
รวินทร์ไม่รีรอวิ่งไปยังห้องที่อภิรักษ์พักฟื้นอยู่ สารวัตรวิ่งตามหลังมาติด ๆ เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องพบว่าอภิรักษ์หายไปแล้ว
รวินทร์วิ่งไปหานายแพทย์ธนาในห้องพยาบาลแต่กลับไม่พบใคร สภาพภายในห้องรกรุงรังไม่น้อย รวินทร์อดคิดไม่ได้
'หรือว่านายแพทย์ธนาจะมีส่วนรู้เห็นด้วย หากวิศกรพิสิทธิ์ คู่แข่งด๊อกเตอร์อภินันท์ว่าจ้างนายแพทย์ธนาให้ทำการฆาตกรรมด๊อกเตอร์และอภิรักษ์ ย่อมเป็นไปได้'
รวินทร์และสารวัตรภัทรพลขึ้นลิฟท์ขึ้นไปยังชั้น 13 ชั้นที่วิศวกรพิสิทธิ์ทำงานอยู่ มาถึงหัวมุมห้อง พอดีเห็นนายแพทย์ธนากำลังแยกจากวิศวกรพิสิทธิ์ วิศวกรกำลังเดินจากไปในทิศทางตรงข้าม ขณะที่นายแพทย์ธนาเข้าไปในห้องทำงานของวิศวกรพิสิทธิ์ ในมือนายแพทย์ยังถือเอกสารฉบับหนึ่ง
นายแพทย์ธนาเข้าไปในห้องชั้นในภายในห้องทำงานของวิศวกรพิสิทธิ์อีกชั้นหนึ่ง ภายในห้องมืดสนิท ไม่เปิดไฟ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงนายแพทย์ธนาร้อง รวินทร์และสารวัตรภัทรพลรีบวิ่งเข้าไปข้างในห้อง
สารวัตรภัทรพลเดินนำหน้าพร้อมถือปืนอยู่ในมือ รวินทร์เดินตามหลังสังเกตเห็นเงาคนนอนอยู่ในความมืด คงเป็นนายแพทย์ธนา แต่ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง แต่แล้วก็มีคนกระโจนออกจากมุมมืด สารวัตรทำปืนหลุดจากมือ ส่วนรวินทร์ล้มไม่เป็นท่าด้วยความตกใจ คนร้ายสะดุดเล็กน้อยก่อนจะเปิดประตูห้องหนีไป สารวัตรควานหาปืนในความมืด แล้วรีบตามออกไป
คนร้ายในชุดเสื้อคลุมสีขาววิ่งหนีพร้อมเอกสารในมือ สารวัตรภัทรพลมาหยุดอยู่หน้าประตูห้อง นั่งคุกเข่าในท่าเตรียมยิง รวินทร์กระเสือกกระสนตามออกมาจากข้างในห้อง มองตามเงาหลังของคนร้าย
"หยุด บอกให้หยุด ไม่งั้นยิง" สารวัตรตะโกน ปลดล็อคปืน
"อย่า!" รวินทร์ตะโกนพร้อมปัดปืนของสารวัตรออก
โครม
คนร้ายชนกับวิศวกรพิสิทธิ์ที่หัวมุมของห้องเข้าอย่างจัง คนร้ายล้มลุกคลุกคลาน พยายามรวบรวมเอกสารที่ร่วงหล่นลง
แกร็ก เสียงกุญแจมือดังขึ้น
สารวัตรภัทรพลใส่กุญแจมือคนร้าย จับคนร้ายอัดกับพื้นระเบียงทางเดิน รวินทร์ค่อย ๆ เดินเข้าหาคนร้ายอย่างเข่าอ่อน เมื่อคนร้ายหันหน้ามาก็ไม่ใช่ใคร ที่แท้ก็เป็นลูกชายของด๊อกเตอร์อภินันท์ อภิรักษ์นั่นเอง!
ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดถูกสารวัตรภัทรพลควบคุมตัวอยู่ในห้องประชุมของโครงการวิจัยของวิศวกรพิสิทธิ์ เมื่อสารวัตรอ่านเอกสารและตรวจสอบหลักฐานทั้งหมดกินเวลาเกือบสองชั่วโมงหลังจากเกิดเรื่องขึ้น สารวัตรเดินเข้ามาในห้องประชุมในที่สุด
ทุกคนนั่งเงียบไม่มีใครพูดจากัน อภิรักษ์ถูกล็อคกุญแจมือนั่งก้มหน้ากอดเข่าอยู่มุมห้องอย่างสงบ สารวัตรภัทรพลมองทุกคนรอบหนึ่งก่อนจะมานั่งลงตรงหัวโต๊ะ
"จากหลักฐานทั้งหมดที่รวบรวมมา ผมพอจะสรุปได้แล้วว่าใครเป็นฆาตกรที่แท้จริง แต่ยังมีบางเรื่องที่ผมยังไม่ค่อยเข้าใจดีนัก หวังว่าทุกคนคงจะให้ความร่วมมือ"
สารวัตรภัทรพลหยิบเอกสารที่อภิรักษ์ขโมยมาจากนายแพทย์ธนาขึ้นมา
"นี่เป็นประวัติคนไข้ของด๊อกเตอร์อภินันท์ เป็นฉบับที่ละเอียดกว่าชุดที่คุณหมอได้ให้ไว้กับทางตำรวจตอนแรก เรียกว่าละเอียดยิบเลยก็ว่าได้"
สารวัตรหยิบเอกสารฉบับล่างสุดออกมาอีก
"และนี่เป็นประวัติคนไข้ของอภิรักษ์ ละเอียดยิบพอกัน"
สารวัตรจ้องหน้านายแพทย์ธนาที่กำลังหลบสายตา แล้วหันไปมองอภิรักษ์ที่มุมห้อง
"อภิรักษ์ ช่วยบอกได้ไหมว่าทำไมคุณถึงต้องฆ่าคุณพ่อของคุณเอง"
อภิรักษ์นั่งนิ่งเงียบ
"คุณฆ่าด๊อกเตอร์ เพราะด๊อกเตอร์พยายามจะฆ่าคุณก่อนใช่ไหม" สารวัตรเน้นคำ
"ไม่จริง" รวินทร์ตะโกนขึ้น "ทำไมด๊อกเตอร์จะต้องฆ่าลูกชายของท่านเองด้วย ท่านรักลูกชายของท่านจะตายไป"
"เป็นความจริง" นายแพทย์ธนาบอก "คุณก็รู้ว่าด๊อกเตอร์เป็นโรคหัวใจ และไม่มีทางรักษาให้หายได้ นอกจาก นอกจาก..."
"เปลี่ยนหัวใจดวงใหม่ หัวใจที่สามารถเข้ากับท่านได้โดยไม่เกิดปฏิกริยาต่อต้าน" สารวัตรภัทรพลเสริม "ไม่มีหัวใจดวงไหนเหมาะสมเท่ากับของอภิรักษ์ที่เป็นร่างโคลนของท่าน"
นายแพทย์ธนาพยักหน้า หลังจากที่ครอบครัวของด๊อกเตอร์อภินันท์เสียชีวิต ด๊อกเตอร์ก็คิดแผนการนี้ได้ในเวลาต่อมา สารวัตรกล่าวต่อ
"ด๊อกเตอร์พยายามฆ่าอภิรักษ์ โดยจงใจให้รวินทร์ออกไปสำรวจรอบเช้าในระยะเวลามากกว่าปกติ เพื่อให้รวินทร์ได้รับสารพิษในปริมาณสูงกว่าปกติ เมื่อกลับมาจะได้นอนหลับสนิทและไม่มีคนกวนแผนการของด๊อกเตอร์ จากนั้นก็ลงมือผ่าชุดสำรวจให้เป็นรอย เพื่อให้สารพิษเข้าไปในร่างกายของอภิรักษ์ขณะออกไปสำรวจ ให้เหมือนว่าเป็นอุบัติเหตุ"
อภิรักษ์นั่งตัวสั่น
"หากแต่อภิรักษ์รู้แผนการซะก่อน จึงลอบออกจากเรือดำน้ำทางประตูฉุกเฉินที่ไม่ต้องบันทึกลายนิ้วมือ จับด๊อกเตอร์ฉีดยากระตุ้นหัวใจ รอจนด๊อกเตอร์เสียชีวิตจึงกลับขึ้นไปในเรือดำน้ำ แน่นอนว่าทางตำรวจไม่สามารถตรวจพบลายนิ้วมืออื่น ๆ อีก เพราะลายนิ้วมือของด๊อกเตอร์และอภิรักษ์ย่อมเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน"
"แล้วอภิรักษ์จะรู้ได้ยังไงว่าด๊อกเตอร์จะฆ่าอภิรักษ์" รวินทร์ถาม
"20 ปีที่ผ่านมาผมฝันร้ายมาตลอด" อภิรักษ์เปิดปากพูดครั้งแรก "ผมฝันมาตลอดว่าคุณพ่อจะควักหัวใจของผมออกมา"
"เป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการโคลนนิ่ง" นายแพทย์ธนาเสริม "บางทีความทรงจำของด๊อกเตอร์บางส่วน รวมถึงแผนการเรื่องการเปลี่ยนหัวใจ อาจตกทอดไปสู่อภิรักษ์ที่เป็นร่างโคลน หากสารวัตรดูให้ดีในบันทึกคนไข้ของอภิรักษ์ อภิรักษ์จะมีอาการประสาทหลอนอยู่เล็กน้อย"
"ผมตกใจมากเมื่อรู้ว่าคุณพ่อเป็นโรคหัวใจและกำลังจะตาย ฝันร้ายของกำลังจะกลายเป็นความจริง" อภิรักษ์เงยหน้าขึ้น "และผมก็แน่ใจว่าเมื่อเห็นสายตาของคุณพ่อ มันเป็นสายตาแบบเดียวกับผมเวลาที่ผมมุ่งมั่นจะทำอะไรบางอย่างอย่างจริงจัง ผมรู้ว่ามันต้องเกิดขึ้นแน่"
"คุณก็เลยไปขโมยยากระตุ้นที่ห้องพยาบาล" สารวัตรมองอภิรักษ์ แล้วหันไปมองนายแพทย์ธนา "คุณหมอก็เลยพยายามจะช่วยอภิรักษ์โดยการทำลายเอกสารพวกนี้เสีย แต่อภิรักษ์ไม่ทราบจึงไปแย่งชิงมันจากคุณหมอ และบังเอิญให้ผมทราบเรื่องนี้เข้า"
ผลงานอื่นๆ ของ ม้าใต้ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ม้าใต้
ความคิดเห็น